เมื่อก้าวเข้ามาสู่สังคมเเบบใหม่ ก็จำเป็นจะต้องเรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆ เพื่อเป็นที่ยอมรับในสังคมนั้นๆ
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ความอดทน ที่จะต่อสู้ใฝ่หาความรู้ใส่ตน เพื่อการประสบความสำเร็จในอนาคต!

วันที่ 30 เมษายน ของทุกปีมีการเฉลิมฉลองวันวอลโบรยเเมสสุอัฟต้อน ( Valborgsmässoafton) ซึ่งปกติจะมีสุมกองไฟที่เรียกว่า majbål กองไฟที่นำมาสุมจะประกอบ ด้วยใบไม้ กิ่งไม้เเห้ง ต้นคริสมาสเเห้งๆ เมื่อพบค่ำเเล้วก็สุมกองไฟ บ่อยครั้งที่คนในชุมชนมา รวมตัวกันที่กองไฟ เช่นสมาคมต่างๆ เช่น ลูกเสือ หรือ สมาคมกีฬา ที่จัดงานสุมกองไฟ ด้วย กันกับ เทศบาลเมือง

กลุ่มนักร้องประสานเสียงร้องเพลงต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ ในขณะเดียวกันก็สุมไฟที่กองไฟ ในเมืองที่มี มหาวิทยาลัยเช่น อุปสอลา เเละ ลุ้นด์ งานวันวอลโบรยเป็นงานใหญ่ ที่นักศึกษาเฉลิมฉลองกัน ตลอดทั้งวัน มิใช่เเต่ตอนกลางคืน

ทำไมถึงมีการเฉลิมฉลองในวันวอลโบรย?

ตั้งเเต่ช่วงประวัติศาสตร์ตอนกลาง ( medeltiden) มีการฉลองกันในวันที่ 1 พฤษภาคม ตั้งเเต่วันที่ 30 เมษายน เเละ วันที่ 1 พฤษภาคมเป็นเสมือนวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่จะส่งใบเสร็จเก็๋บเงินของพวก หัวหน้่า เเละ นักเศรษฐศาสตร์ สำหรับเกษตรกรวอลโบรยมีความหมายคือเป็นวันที่ปล่อยวัว เเละ เเกะ ออกไปกินหญ้าข้างนอก

ปัจจุบันนี้วอลโบรยเ้ป็นสัญลักษณ์ว่า ฤดูหนาวได้หมดสิ้นลงเเล้ว เเละฤดูใบไม้ผลิกำลังย่างก้าวเข้ามา ชืื่อ วอลโบรย มาจาก นักบุญชาวคริตส์ที่เป็นผู้อำนวยการในวัดที่ประเ้ทศเยอรมัน หลังจากที่สันตะปาปา ได้เเต่งตั้งเํํธอให้เป็นนักบุญเเล้ว ก็ย้ายเธอไปอยู่ที่โบสถ์อื่นซึ่งเกิดขึ้นเมื่อคืนระหว่างวันที่ 30 เมษายน เเละ วันที่ 1 พฤษภาคม ปี ค.ศ 870